วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พระราชประวัติ รัชกาลที่ ๖




                  พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 6 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสวยราชสมบัติเมื่อวันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม ปีจอ พุทธศักราช 2453 และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 รวมพระชนมพรรษา 45 พรรษา เสด็จดำรงราชสมบัติรวม 15 ปี

                 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชอัจฉริยภาพและทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในหลายสาขา ทั้งด้านการเมืองการปกครอง การทหาร การศึกษา การสาธารณสุข การต่างประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือด้านวรรณกรรมและอักษรศาสตร์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทร้อยแก้วและร้อยกรองไว้นับพันเรื่อง กระทั่งทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วว่า "สมเด็จพระมหาธีราชเจ้า" พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ใน พระราชวงศ์จักรีพระองค์แรกที่ไม่มีวัดประจำรัชกาล แต่ได้ทรงมีการการสถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวง หรือวชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบัน ขึ้นแทน ด้วยทรงพระราชดำริว่าพระอารามนั้นมีมากแล้ว และการสร้างอารามในสมัยก่อนนั้นก็เพื่อบำรุงการศึกษาของเยาวชนของชาติ จึงทรงพระราชดำริให้สร้างโรงเรียนขึ้นแทน






                    พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งแรกของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างแล้วเสร็จเมื่อพ.ศ. 2485 ประดิษฐาน ณ สวนลุมพินี ซึ่งเป็นบริเวณที่ดินส่วนพระองค์ ที่พระราชทานไว้เป็นสมบัติของประชาชน เพื่อจัดงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์แสดงสินค้าไทยแก่ชาวโลกเป็นครั้งแรก เพื่อบำรุงเศรษฐกิจและพาณิชยกรรมของประเทศ (แต่มิทันได้จัดก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน) และทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าเมื่อเสร็จงานแล้ว จะพระราชทานเป็นสวนสาธารณะพักผ่อนหย่อนใจแห่งแรกในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ ในวันคล้ายวันสวรรคตของทุกปี วันที่ 25 พฤศจิกายน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือผู้แทนพระองค์ จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางพวงมาลา ถวายบังคมพระบรมราชานุสรณ์ ณ สวนลุมพินีแห่งนี้ ในวันนั้นมีหน่วยราชการ หน่วยงานเอกชน นิสิตนักศึกษา พ่อค้าประชาชนจำนวนมากไปวางพวงมาลาถวายราชสักการะ และยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวาย ณ วชิราวุธวิทยาลัย

                 ใน พ.ศ. 2524 องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ยกย่องพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่าทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรม ในฐานะที่ทรงเป็นนักปราชญ์ นักประพันธ์ กวี และนักแต่งบทละครไว้เป็นจำนวนมาก


พระนามเต็ม

                  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเต็มว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ เอกอรรคมหาบุรุษบรมนราธิราช พินิตประชานาถมหาสมมตวงศ์ อดิศัยพงศ์วิมลรัตน์วรขัตติราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาตสังสุทธเคราะหณีจักรีบรมนาถ จุฬาลงกรณราชวรางกูร บรมมกุฏนเรนทร์สูรสันตติวงศวิสิฐ สุสาธิตบุรพาธิการ อดุลยกฤษฎาภินิหาร อดิเรกบุญฤทธิ ธัญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดม บรมสุขุมาลย์ทิพยเทพาวตาร ไพศาลเกียรติคุณ อดุลยวิเศษสรรพเทเวศรานุรักษ์ บุริมศักดิสมญาเทพวาราวดี ศรีมหาบุรุษสุทธสมบัติ เสนางคนิกรรัตนอัศวโกศล ประพนธปรีชา มัทวสมาจาร บริบูรณคุณสารสยามาทินคร วรุตเมกราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต์มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษศิรินธร บรมชนกาดิศรสมมต ประสิทธิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษฏาภิสิต สรรพทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัยพุทธาธิไตรรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์ อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณา สีตลหฤทัย อโนมัยบุญการสกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร์ ปรเมนทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว"
ต่อมาใน พ.ศ. 2459 ได้ทรงเปลี่ยนคำนำหน้าพระปรมาภิไธยของพระองค์เองใหม่ว่า "พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ อรรคมหาบุรุษบรมนราธิราช พินิตประชานาถมหาสมมตวงศ์ ฯลฯ         พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว"


พระราชประวัติ





พระราชสมภพ
   ระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และทรงเป็นพระโอรสองค์ที่ 2 ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง(สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี)พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 1 มกราคม พุทธศักราช 2423 ร.ศ. 99 เมื่อเวลา 08.55 นาฬิกา ทรงได้รับพระราชทานพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราวุธ” เมื่อพระชนมายุได้ 8 พรรษา ในปีพุทธศักราช 2431 ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวาราวดี ปรากฏพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เอกอัครมหาบุรุษบรมนราธิราช จุฬาลงกรณนาถราชวโรรส มหาสมมตขัตติยพิสุทธิ์ บรมมกุฎสุริยสันตติวงศ์ อดิสัยพงศ์วโรภโตสุชาติ คุณสังกาศวิมลรัตน์ ทฤฆชนมสวัสดิขัตติยราชกุมาร” ทรงมีพระเกียรติยศเป็นชั้นที่ 2 รองจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีสมเด็จพระพี่นางเธอ          สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอและสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ ร่วมสมเด็จพระบรมราชชนก สมเด็จพระบรมราชชนนี ดังนี้
                   1.   สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพาหุรัดมณีชัย กรมพระเทพนารีรัตน์
                   2.  สมเด็จเจ้าฟ้าชายมหาวชิราวุธ(รัชกาลที่ 6)
                   3.  สมเด็จเจ้าฟ้าชายตรีเพ็ชรรุตม์ธำรง
                   4.  สมเด็จเจ้าฟ้าชายจักรพงศ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
                   5.  สมเด็จเจ้าฟ้าชายสิริราชกกุธภัณฑ์
                   6.  สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง (สิ้นพระชนม์วันที่ประสูติ)
                   7.  สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย
                   8.  สมเด็จเจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา (รัชกาลที่ 7)



การศึกษา


พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะทรงพระเยาว์ได้ทรงศึกษาในพระบรมมหาราชวัง พระอาจารย์ภาษาไทย คือ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) พระยาอิศรพันธุ์โสภณ (ม.ร.ว. หนู อิศรางกูร) และหม่อมเจ้าประภากรในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์
        


                    สำหรับภาษาอังกฤษทรงศึกษาจากครูชาวอังกฤษชื่อ โรเบิร์ต มอแรนต์ (Robert Morant) ซึ่งพระองค์ทรงให้ความสนพระทัยและทรงพระปรีชาสามารถแปลอุปรากร เรื่อง “มิกาโด” ซึ่งเป็นบทประพันธ์ระดับวรรณกรรมโลกของวิลเลียม กิลเบิร์ต เมื่อทรงพระชนมายุได้ 10 พรรษา เสด็จเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนราชกุมาร ซึ่งตั้งอยู่ในเขตพระบรมมหาราชวังนั่นเอง
          ภายหลังพระราชพิธีโสกันต์ (โกนจุก) ในเดือนธันวาคม ปีพุทธศักราช 2435 แล้ว ในปีต่อมาทรงพระชนมายุได้เพียง 12 พรรษาเศษ ได้เสด็จไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ ตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ ที่จะทรงส่งพระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์ไปทรงศึกษาวิชาการในสาขาต่างๆ ณ ทวีปยุโรปเพื่อนำความรู้กลับมาพัฒนาประเทศให้เจริญทัดเทียมกับนานาอารยประเทศต่อไป จึงนับได้ว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ มีผู้โดยเสด็จฯ คือ
     1.  พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์)
     2.  พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์)
     3.  หม่อมราชวงศ์สิทธิ สุทัศน์ (นายพลโท พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร)
     4.  พระมนตรีพจนกิจ (เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี นามเดิม หม่อมราชวงศ์ เปีย มาลากุล)
     ซึ่งทำหน้าที่เป็นพระอภิบาล และถวายอักษรเมื่อเสด็จถึงประเทศอังกฤษ ทรงรับการอบรมความรู้เบื้องต้นจากเซอร์เบซิล ทอมสัน (Sir Basil Thomson) ณ เมืองแอสคอต (Ascot) ในระหว่างประทับอยู่ที่แอสคอตนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร สวรรคตเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2437
     พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวาราวดี ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารแทน
     เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ 2439 ทรงย้ายไปประทับที่บ้านใหม่ชื่อ เกรตนี่ (Graitney) ตำบลแคมเบอร์ลีย์ (Camberley) ใกล้ออลเดอร์ชอต (Aldershot) โดยมีนายพันโท ซี วี ฮูม (C.V. Hume) เป็นผู้ถวายการสอนวิชาทหาร ส่วนวิชาการพลเรือนมีนายโอลิเวียร์ ( Olivier) ชาวอังกฤษเป็นผู้ถวายการสอน และนายบูวิเยร์ (Bouvier) ชาวสวิส เป็นผู้ถวายการสอนภาษาฝรั่งเศส
ต่อมาในปีพุทธศักราช 2440 ทรงเข้าศึกษาวิชาการทหารบกที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกแซนด์เฮิสต์  (Royal Military, Sandhurst) เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาแล้ว ก็ทรงเข้ารับราชการทหารในกรมทหารราบเบาเดอรัม (Derham Light Infantry) ที่นอร์ธ แคมป์ (North Camp) ณ ออลเดอร์ชอต และเสด็จไปประจำหน่วยภูเขาที่ 6 ค่ายฝึกทหารปืนใหญ่ที่โอคแฮมป์ตัน (Okehampton) ต่อมาอีกเดือนหนึ่งเสด็จไปทรงศึกษาที่โรงเรียนปืนเล็กยาวที่เมืองไฮยท์ (School of Musketry of Hythe) ทรงได้รับประกาศนียบัตรพิเศษและเหรียญแม่นปืน หลังจากนั้นทรงเข้าศึกษาวิชาประวัติศาสตร์และกฎหมายที่ ไครสต์ เชิช ( Christ Church) มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดระหว่าง พ.ศ 2442 ถึง พ.ศ 2444 ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มหาวิทยาลัยจัดถวายแด่พระราชวงศ์อังกฤษ จึงไม่มีการรับปริญญาบัตร พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์วิทยานิพนธ์ทางประวัติศาสตร์เรื่อง The War of the Polish Succession (สงครามสืบราบสมบัติโปแลนด์) ต่อมามีผู้สนใจนำไปแปลเป็นภาษาฝรั่งเศลอีกด้วย
              


            ในด้านกิจกรรม พระองค์ทรงก่อตั้งสโมสรคอนโมโปลิตัน (Cosmoplitan Society) เพื่อเป็นแหล่งชุมนุมนิสิต มีการบันเทิง การแลกเปลี่ยนกันอ่านคำตอบวิชาที่ศึกษาอยู่ นอกจากนี้ยังทรงเป็นสมาชิกสโมสรบุลลิงตัน( Bullington Club) สโมสรคาร์ดินัล (Cardinal Club) และสโมสรการขี่ม้าด้วย ในด้านภาษาศาสตร์ทรงเป็นนักปราชญ์องค์หนึ่ง ที่มีพระปรีชาสามารถและมีความเชี่ยวชาญเป็นเลิศ จะเห็นได้จากการที่พระองค์ทรงออกหนังสือรายสัปดาห์เป็นภาษาต่างประเทศ ซึ่งออกในประเทศอังกฤษ ชื่อว่าสกรีชโอว์ ซึ่งเป็นหนังสือสำหรับเด็กที่ได้รับการยอมรับและมีความเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นหนังสือที่อ่านสนุกและมีคนติดใจกันมากมาย ต่อมาทรงออกหนังสือ เดอะลุคเกอร์ออนอีกฉบับหนึ่งด้วย


ผู้แทนพระองค์สมเด็จพระชนกนาถ

      เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสประเทศทางยุโรปครั้งแรกในปีพุทธศักราช 2440 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร ก็เสด็จจากลอนดอนไปเฝ้ารับเสด็จฯ ที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี หลักจากนั้นยังทรงรับมอบพระราชภาระเป็นผู้แทนพระองค์สมเด็จพระบรมราชนกนาถเสด็จไปร่วมงานพระราชพิธีฉัตรมงคลสมโภชในโอกาสที่สมเด็จพระราชินีวิคตอเรียเสวยราชสมบัติครบ 60 ปี ในปีพุทธศักราช 2440 นอกจากนี้ยังเสด็จไปงานพระราชพิธีบรรจุพระศพพระราชินีลุยซ่าแห่งเดนมาร์ก ในปีพุทธศักราช 2441 พระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระเจ้าอัลฟองโซที่ 13 แห่งสเปน และพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งอังกฤษ และพระราชพิธีบรรจุพระศพสมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย แห่งอังกฤษในปีพุทธศักราช 2445


การเสด็จเยือนประเทศต่างๆและนิวัติกรุงเทพ


 นระหว่างปิดภาคเรียนขณะทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษ พระองค์ทรงศึกษาภาษาฝรั่งเศส และเสด็จทอดพระเนตรกิจการทหารของประเทศในภาคพื้นยุโรปเป็นเนืองนิจ ในปีพุทธศักราช 2445 ขณะทรงพระชนมายุ 22 พรรษา หลังจากทรงสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดแล้ว พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปจนถึงประเทศอียิปต์ เพื่อเป็นการเจริญสัมพันธไมตรี จากนั้นประทับอยู่ในกรุงลอนดอนระยะหนึ่งเพื่อเตรียมพระองค์นิวัตประเทศไทย รวมเวลาที่ทรงศึกษาในประเทศอังกฤษทั้งสิ้น 9 ปี
            ครั้นในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2445 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัตประเทศไทยทางเรือ ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก สู่สหรัฐอเมริกา และเสด็จประพาสตามหัวเมืองต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา เพื่อทอดพระเนตรการปกครองและการบริหารบ้านเมืองของสหรัฐอเมริกา เป็นเวลาเดือนเศษ ในราวต้นเดือนธันวาคม พุทธศักราช 2445 เสด็จออกจากประเทศสหรัฐอเมริกาโดยทางเรือ ถึงเมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น แล้วประทับ ณ ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาเดือนเศษ จากนั้นเสด็จไปประทับ ณ เกาะฮ่องกง แล้วจึงเสด็จถึงประเทศไทย ในวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ2446 โดยประทับ ณ พระราชวังสราญรมย์ และทรงเข้ารับราชการทหารทันที ต่อมาทรงได้รับพระราชทานพระยศนายพลเอกราชองครักษ์พิเศษและจเรทัพบก กับทรงเป็นนายพันโทผู้บังคับการกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ นอกจากนั้นทรงช่วยเหลือกิจการของสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมชนกนาถ






ทรงผนวช

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนาอย่างมาก และเป็นไปตามโบราณราชประเพณี หลังจากทรงรับราชการทหารได้ระยะหนึ่ง จึงเสด็จออกผนวก ในวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ 2447 ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ ประทับจำพรรษาที่พระตำหนักปั้นหยาวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 1 พรรษา ทรงได้รับสมณฉายาว่า “วชิราวุโธ”
     ตลอดระยะเวลาที่ผนวชนั้น พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้าหลักธรรมวินัยในพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ จากนั้นทรงลาสิกขา ทรงเป็นองค์อุปถัมภกของสยามสมาคมและทรงดำรงตำแหน่งสภานายกหอพระสมุดวชิรญาณสำนักพระนคร ระหว่างปีพุทธศักราช 2448 ถึงพุทธศักราช 2453




ตามเสด็จพระชนกนาถ

หลังจากทรงลาสิกขาแล้ว ในปีพุทธศักราช 2448 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ เสด็จประพาสภายในประเทศ โปรดให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตามเสด็จด้วยทุกคราว ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้ทรงคุ้นเคยกับสภาพบ้านเมือง ข้าราชการ และพสกนิกรของประเทศซึ่งอยู่ในชนบทที่ห่างไกลเมืองหลวง นอกจากยังเสด็จโดยลำพังพระองค์เอง เช่น เสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือครั้งแรกเมื่อพุทธศักราช 2448 และครั้งที่ 2 เมื่อพุทธศักราช 2450 (หัวเมืองฝ่ายเหนือ : กำแพงเพชร สุโขทัย สวรรคโลก อุตรดิตถ์ พิษณุโลก) เป็นผลให้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง “เที่ยวเมืองพระร่วง” และ “ลิลิตพายัพ” ทรงใช้พระนามแฝงว่า “หนานแก้วเมืองบูรพ์”
          มาเสด็จไปหัวเมืองปักษ์ใต้ใน พ.ศ. 2452 และทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง “จดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้” ทรงใช้พระนามแฝงว่า “นายแก้ว” นอกจากนี้ได้ทรงมีส่วนร่วมในการร่างกฎหมายหลายฉบับ และก่อนหน้าที่จะทรงขึ้นครองราชย์เพียง 2 – 3 เดือน ทรงได้รับมอบหมายให้ทรงกำกับราชการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีเสนาบดี จึงนับว่าทรงมีพื้นฐานเกี่ยวกับการบริหารของประเทศชาติ






เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ในวันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 เวลา 24.45 น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามกุฎราชกุมารได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบแทนเมื่อเวลา 0.45 น. ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 6 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจัดเป็น 2 งานคือ งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมพระราชมนเทียรเมื่อวันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453 และงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2454 ในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระชนมมายุ 30 พรรษา ทรงมีพระราชปณิธานในการปกครองพสกนิกรและแผ่นดินโดยธรรม ดังความในพระราชหัตถเลขาบางตอน ถึงพระสหาย นายเฟรเดอริค เวอร์นี่ย์ ที่ปรึกษาสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453 ความว่า"… พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่สวรรคตแล้วแต่ฉันรู้สึกประชาชนผู้จงรักภักดีจะระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณต่อไป และคงจะให้ความรักและภักดีต่อฉันผู้สืบราชสมบัติต่อจากพระองค์บ้างการที่จะปฏิบัติตามรอยพระยุคลบาทนั้นคงจะยาก แต่ฉันก็จะพยายามอย่างมากที่สุดจะทำงานเพื่อประชาชนซึ่งบัดนี้เป็นหน้าที่ของฉันแล้ว ตำแหน่งของฉันเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดินแต่เชื่อว่าในไม่ช้าประชาชนก็คงจะรู้สึกว่าฉันเป็นมิตรที่ซื่อสัตย์ และเต็มใจรับใช้พวกเขาทั้งหลาย เพื่อความสุขและเจริญของเขา…..ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงมีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฎ ว่า
      ระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ เอกอรรคมหาบุรุษพบรมนราธิราชพินิประชานารถมหาสมมตวงษ์ อดิศัยพงศวิมลรัตนวรขัตติยราชนิกโรดม จตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาตสังสุทรเคราะหณี จักรีบรมนารถ จุฬาลงกรณราชวรางกูร บรมมกุฎเรนทร์สูร สันตติวงษ์วิสิฐ สุสาธิตบุรพาธิการ อดุลยกฤษฎาภินิหาร อดิเรกบุญฤทธิ์ ธัญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตตะมางคประณตบาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดมบรมสุขุมาลย์ ทิพยเทนาวตาร ไพศาลเกียรติคุณ อดุลยพิเศษสรรพเทเวศรานุรักษ์ บุริมศักดิสมญาเทพทวาราวดี ศรีมหาบุรุษสุตสมบัติ เสนางคนิกรรัตนอัศวโกศล ประพนธปรีชา มัทวสมาจาร บริบูรณ์ คุณสารสยามมาทินคร วรุตเมกราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต์ มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษศิรินธร บรมชนกาดิศรสมมต ประสิทธิวรยศมโหดม บรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราดิฉัตร ศิริรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกาภิษิต สรรพทศทิศวิชิตไชย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวไศรย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิอรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัยอโนปไมยบุญการ สกลไพศาลมหารัษฎาธิเบนทร์ ปรเมนทรธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบพิตร พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อมาภายหลังเปลี่ยนจาก “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ” เป็น “พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ”
       ในวันที่ 3 ธันวาคม พุทธศักราช 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเลียบพระนครทางสถลมารค และในวันที่ 4 ธันวาคม พุทธศักราช 2454 เสด็จเลียบพระนครทางชลมารค ซึ่งเป็นงานใหญ่ มีขบวนเรือประกอบด้วยเรือกว่า 30 ลำ ทรงพระชฎามหากฐินร้อยตามราชประเพณี มีเรือพระที่นั่งศรีสุพรรณหงส์เป็นเรือพระที่นั่ง เรือพระที่นั่งอนันตนาคราชเป็นเรือพระที่นั่งรอง เสด็จพระราชดำเนินจาก ท่านราชวรดิษฐ์ ไปวัดอรุณราชวราราม เพื่อถวายผ้าทรงสะพักแด่พุทธปฏิมากร พร้อมด้วยปัจจัยถวายสำหรับบูรณะพระอารามด้วย ทรงใช้เรือพระที่นั่งศรีประภัศรไชย ซึ่งมีบุษบกอยู่กลางลำ เป็นที่ประดิษฐานสิ่งที่จะนำไปถวาย ขากลับทรงใช้เรือพระที่นั่งอนันตนาคราชเป็นเรือพระที่นั่ง




มเหสีและพระราชธิดา

  เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุ 40 พรรษา ทรงประกาศพระราชพิธีหมั้นกับหม่อมเจ้าหญิงวรรณวิมล วรวรรณ
(หม่อมเจ้าหญิงวัลลภาเทวี) พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์ พร้อมทั้งทรงประกาศสถาปนาขึ้นเป็นพระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2463 จัดให้มีขึ้น ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน หลังจากนั้น 4 เดือน ทรงประกาศยกเลิกการพระราชพิธีหมั้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม พุทธศักราช 2463 ด้วยเหตุที่พระราชอัธยาศัยมิได้ต้องกัน
          ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีความรักกับ หม่อมเจ้าหญิงวรรณพิมล วรวรรณ (หม่อมเจ้าหญิงลักษมีลาวัณ) พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์ จึงโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณ เมื่อวันที่ 8 กันยายน พุทธศักราช 2464 และทรงมีพระราชประสงค์จะมีพิธีราชาภิเษกสมรสด้วย ต่อมาในปีพุทธศักราช 2465 ขณะที่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณ มีพระชันษา 23 ปี ทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็น พระนางเธอลักษมีลาวัณ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม แต่ภายหลังต่อมาพระนางเธอลักษมีลาวัณ มิสามารถมีพระราชโอรส หรือพระราชธิดาได้ จึงทรงแยกอยู่ตามลำพังไปประทับ ณ ตำหนักลักษมีวิลาส และดำรงพระชนมชีพอย่างสงบ สันโดษ
     เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พุทธศักราช 2464 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรส กับคุณเปรื่อง สุจริตกุล ธิดาของเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (ปลื้ม สุจริตกุล) กับท่านผู้หญิงสุธรรมมนตรี (กิมไล้) และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งขึ้นเป็น พระสุจริตสุดา พระสนมเอก ต่อมาในวันที่ 12 มกราคม พุทธศักราช 2464 ทรงประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับ คุณประไพ สุจริตกุล ผู้น้อง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งขึ้นเป็น พระอินทราณี ต่อมาทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระวรราชชายาเธอ พระอินทรศักดิศจี ในวันที่ 10 มิถุนายน พุทธศักราช 2465 และทรงสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินี ในวันที่ 1 มกราคม 
พุทธศักราช 2465 (พุทธศักราช 2466 ตามปฏิทินในปัจจุบัน) แต่ด้วยเหตุผลตามประกาศพระบรม
ราชโองการ ลงวันที่ 14 กันยายน พุทธศักราช 2468 ที่มิสามารถถวายรับราชการฉลองพระเองพระคุณได้ในหน้าที่ที่ควรของตำแหน่งสมเด็จพระบรมราชินี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนพระอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา และเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา เสด็จไปประทับ ณ วังคลองภาษีเจริญ ฝั่งธนบุรี จนตลอดพระชนมชีพ
     ในปีพุทธศักราช 2467 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับคุณเครือแก้ว อภัยวงศ์ (สุวัทนา) ธิดาของพระยาอภัยภูเบศร์ (เสื่อม อภัยวงศ์) เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าจอมสุวัทนาขึ้นเป็น พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พุทธศักราช 2468 พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ทรงมีพระประสูติกาลเป็นพระราชธิดา ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2468 ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จสู่สวรรคาลัยเพียงวันเดียว โดยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชาสุดาสิริโสภาพัณณวดี


พระราชานุกิจ 

  พระราชานุกิจ คือ กำหนดเวลาที่พระเจ้าแผ่นดินจะทรงประพฤติพระราชกิจต่างๆ ประจำทุกวัน เรียบเรียงโดยพระยาอนิรุทเทวา (ม.ล.ฟื้น พึ่งบุญ) จางวางมหาดเล็ก ดังนี้
     11.00 น. ถึง 11.30 น. บรรทมตื่น เสวยเครื่องเช้า ที่เฉลียงข้างห้องพระบรรทม ทรงเครื่องแล้วเสด็จเข้าห้องพระอักษรราชาเลขาธิการเข้าเฝ้าถวายหนังสือราชการทรงงานแผ่นดินอยู่จนถึงเวลาเสวยเครื่องใหญ่กลางวัน     
     13.00 น. ถึง 13.30 น. เสวยกลางวันอย่างไทย ด้วยประทับพระยี่ภู่ เสวยด้วยพระหัตถ์ในชามหยก วางบนโต๊ะเล็ก เสวยเสร็จราว 15.00 น. บางวันเสนาบดี กระทรวงวัง เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลเรียนพระราชปฏิบัติในเรื่องพระราชพิธีต่างๆ ในตอนเสวยแล้ว แล้วเสด็จเข้าประทับในห้องทรงพระอักษรจนถึงเวลาเย็น ราว 
     17.00 น. เสด็จลงทรงการเล่นต่างๆ มีเทนนิส ราวเดอร์หรือแบดมินตัน เสร็จออกพระกำลังกายแล้วเสวยเครื่องว่าง และเสด็จขึ้นราวเวลาย่ำค่ำครึ่ง ถ้ามีการพระราชพิธีหรืองานพิเศษก็ไม่ได้เสด็จลงสนาม
     เสด็จออกขุนนางทุกวัน เวลาบ่าย 17.00 น วันจันทร์เสด็จไปเฝ้าสมเด็จพระพันปีหลวงที่พระราชวังพญาไท ในเวลายังดำรงพระชนม์อยู่ ต่อมาอีกวันจันทร์ เสด็จทรงรถประพาสตามถนน โปรดให้ขับรถยนต์พระที่นั่งช้าๆ ด้วยมีพระราชดำรัสว่าให้ราษฎรได้เฝ้า สับเปลี่ยนกันเช่นนี้ทุกวันจันทร์
     ทุกวันศุกร์ เวลา 17.00 น เสด็จออกขุนนาง แล้วมีประชุมเสนาบดี ถ้ามีราชการพิเศษก็เรียกประชุมเป็นพิเศษ บางคราวก็โปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดี เข้าเฝ้าพิเศษ
     ย่ำค่ำครึ่ง สรงน้ำทรงเครื่อง เสด็จเข้าห้องทรงพระอักษรจนถึงเวลาเสวยเย็น
     20.30 น. เสด็จลงประทับโต๊ะเย็น พร้อมด้วยข้าราชบริพาร มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งในราชสำนัก และนอกราชสำนักบางคนเสวยแล้ว บางวันทรงบิลเลียดหรือไพ่บริดส์ บางวันมีซ้อมละคร
     24.00 น. เสวยเครื่องว่าง เสด็จขึ้นราว 01.00 น. บางคืนก็ดึกกว่านี้ ทรงบูชาพระรัตนตรัยและเทพเจ้า  เสด็จเข้าที่พระบรรทม




พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 6

พระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้แก่ พระวชิระ ซึ่งมาจากพระบรมนามาภิไธยก่อนทรงราชย์ นั่นคือ "มหาวชิราวุธ" ซึ่งหมายถึง สายฟ้าอันเป็นศาตราวุธของพระอินทร์ พระราชลัญจกรพระวชิระนั้น เป็นตรางา รูปรี กว้าง 5.5 ซ.ม. ยาว 6.8 ซ.ม. มีรูปวชิราวุธเปล่งรัศมีที่ยอด ประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า 2 ชั้น มีฉัตรบริวารตั้งขนาบทั้ง 2 ข้าง


ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระราชกรณียกิจ

พระราชกรณียกิจ



ด้านการศึกษา
ในด้านการศึกษา ทรงริเริ่มสร้างโรงเรียนขึ้นแทนวัดประจำรัชกาล ได้แก่ โรงเรียนมหาดเล็กหลวง ซึ่งในปัจจุบันคือโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ทั้งยังทรงสนับสนุนกิจการของโรงเรียนราชวิทยาลัยซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นในปี พ.ศ. 2440 (ปัจจุบันคือโรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์)
- จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกฐานะ โรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ขึ้นเป็น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย

- ทรงตราพระราชบัญญัติประถมศึกษา ปีพ.ศ. ๒๔๖๔ ให้บิดามารดาส่งบุตรเข้าโรงเรียนโดยไม่เสียค่าเล่าเรียน

- โปรดเกล้าให้จัดตั้งสถาบันการศึกษาหนึ่งและพระราชทานนามว่า โรงเรียนเพาะช่าง
ในวันที่ ๗ มกราคม ๒๔๕๖ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโรงเรียนเพาะช่างด้วยพระองค์เองด้วยจุดเริ่มต้นนี้ทำให้ประเทศไทยยังมีช่างฝีมือทางศิลปกรรมไทยไว้สืบทอดและสร้างสรรค์สิ่งดีงามจนถึงปัจจุบัน


การเปิดโรงเรียนในเมืองเหนือ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศสยามมกุฎราชกุมารได้เสด็จพระราชทานนามโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2449 ซึ่งไม่เป็นเพียงแต่การนำรูปแบบการศึกษาตะวันตกมายังหัวเมืองเหนือเท่านั้น แต่ยังแฝงนัยการเมืองระหว่างประเทศเอาไว้ด้วย เห็นได้จากการเสด็จประพาสมณฑลพายัพทั้งสองครั้งระหว่าง พ.ศ. 2448-2450 พระองค์ได้ทรงสนพระทัยในกิจการโรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ทั้งสิ้น โดยพระองค์ทรงบันทึกไว้ในพระราชนิพนธ์ "เที่ยวเมืองพระร่วง" และ "ลิลิตพายัพ" ทั้งนี้ เป้าหมายของการจัดการศึกษายังแฝงประโยชน์ทางการเมืองที่จะให้ชาวท้องถิ่นกลมเกลียวกับไทยอีกด้วย


ด้านการเศรษฐกิจ

- จัดตั้งธนาคารออมสินขึ้น เพื่อให้ประชาชนรู้จักออมทรัพย์ และเชื่อมั่นในสถาบันการเงิน เนื่องจากมีธนาคารพาณิชย์เอกชนที่ฉ้อโกง และต้องล้มละลายปิดกิจการ ทำให้ผู้ฝากเงินได้รับความเสียหายอยู่เสมอ

- ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อหุ้นของ ธนาคารสยามกัมมาจล ทุนจำกัด(ปัจจุบันคือ ธนาคารไทยพาณิชย์) ซึ่งมีปัญหาการเงิน ทำให้ธนาคารของคนไทยแห่งนี้ดำรงอยู่มาได้

- ทรงริเริ่มตั้ง บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัดซึ่งได้เป็นกิจการอุตสาหกรรมสำคัญของไทยต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน

- ทรงจัดตั้งสภาเผยแผ่พาณิชย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานคล้ายกับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจในปัจจุบัน

- โปรดเกล้าฯ ให้จัดเตรียมแสดงสินค้าไทย คืองานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ ที่สวนลุมพินี แต่งานต้องเลิกล้มไปเพราะสวรรคตเสียก่อน




ด้านการคมนาคม


- ทรงปรับปรุงและขยายงานกิจการรถไฟ ให้รวมกรมรถไฟซึ่งเคยแยกเป็น ๒ กรมเข้าเป็นกรมเดียวกัน เรียกว่า กรมรถไฟหลวง เริ่มเปิดกิจการเดินรถไฟสายกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ ทรงเปิดเดินรถด่วนระหว่างประเทศ สายใต้ติดต่อกับรถไฟมลายู (มาเลเซีย)

- ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานพระราม ๖ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อมทางรถไฟทั้งปวงในพระราชอาณาจักรโดยโยงเข้ามาสู่ศูนย์กลางที่สถานีหัวลำโพง

- ทรงจัดตั้งกรมอากาศยาน ได้เริ่มการขนส่งไปรษณียภัณฑ์ทางอากาศระหว่างกรุงเทพฯ ไปยังนครราชสีมาเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓


ด้านจิตรกรรม
ทรงส่งเสริมการวาดภาพฝาผนัง เช่น ทรงให้ทดลองเขียนภาพเทพชุ-มนุมในห้องพระเจ้า ณ พระที่นั่งพิมานในพระราชวังสนามจันทน์ ก่อนที่จะนำไปวาดที่ฝาผนังพระวิหารทิศ วัดพระปฐมเจดีย์ ทั้งยังทรงพระกรุณาให้หาผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศด้านจิตรกรรมและประติมากรรม คือ PROF.C.FEROCI หรือท่านศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรีเข้าเฝ้า เพื่อส่งเสริมให้ศิลปินไทยได้เรียนรู้ศิลปะสากลขึ้น อันส่งผลต่อการพัฒนาแนวคิดสร้างสรรค์ทางด้านศิลปะไทยส่วนพระองค์สนพระทัยในการวาดภาพล้อ ทรงวาดภาพล้อไว้หลายชุด แล้วส่งไปพิมพ์ในหนังสือดุสิตสมิต ภาพล้อเหล่านี้ถ้าเป็นภาพล้อผู้ใด ผู้นั้นก็จะซื้อในราคาสูง เงินค่าภาพล้อจะพระราชานไปใช้ในกิจการกุศลทั้งสิ้น

ด้านศิลปวัฒนธรรมไทย

- ทรงตั้งกรมมหรสพขึ้น เพื่อฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทย

- ทรงตั้งโรงละครหลวงขึ้นเพื่อส่งเสริมการแสดงละครในหมู่ข้าราชบริพาร

- ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกแบบอาคารสมัยใหม่เป็นแบบทรงไทย เช่น ตึกอักษรศาสตร์ ซึ่งเป็นอาคารเรียนหลังแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาคารโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย


ด้านการต่างประเทศ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศสงครามกับประเทศฝ่ายเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 โดยประเทศไทยได้เข้าร่วมกับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งประกอบด้วยประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซียเป็นผู้นำ พร้อมทั้งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส่งทหารไทยอาสาสมัครไปร่วมรบในสมรภูมิยุโรปด้วย ผลของสงครามประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัยชนะ ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสเจรจากับประเทศมหาอำนาจหลายประเทศ ในการแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เช่น สนธิสัญญาสิทธิสภาพนอกอาณาเขต สนธิสัญญาจำกัดอำนาจการเก็บภาษีของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สนธิสัญญาจำกัดอำนาจกลางประเทศไทย


ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข

- ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และวชิรพยาบาล เพื่อรักษาพยาบาลประชาชนที่เจ็บไข้ได้ป่วย

- ทรงเปิดสถานเสาวภา เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๕ เพื่อผลิตวัคซีนและเซรุ่ม เป็นประโยชน์ทั้งแก่ประชาชนชาวไทยและประเทศใกล้เคียงอีกด้วย

- ทรงเปิดการประปากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๗



ด้านกิจการเสือป่าและลูกเสือ
ทรงจัดตั้งกองเสือป่าเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 และทรงจัดตั้งกองลูกเสือกองแรกขึ้นที่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง (วชิราวุธวิทยาลัย ในปัจจุบัน) ด้านการฝึกสอนระบอบประชาธิปไตย ทรงทดลองตั้ง "เมืองมัง" หลังพระตำหนักจิตรลดาเดิม ทรงจัดให้เมืองมัง มีระบอบการปกครองของตนเองตามวิถีทางประชาธิปไตย รวมถึงเมืองจำลอง "ดุสิตธานี" ในพระราชวังดุสิต (ต่อมาทรงย้ายไปที่พระราชวังพญาไท)

ด้านวรรณกรรมและหนังสือพิมพ์
ทรงส่งเสริมให้มีการแต่งหนังสือ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติวรรณคดีสโมสร สำหรับในด้านงานหนังสือพิมพ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติสมุด เอกสาร พ.ศ. 2465 ขึ้น


 ด้านส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย

- ทรงส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่อมวลชนที่สำคัญ ในยุคนั้นคือหนังสือพิมพ์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามีเสรีภาพสูงยิ่งกว่าสมัยหลัง พ.ศ. ๒๔๗๕

- ทรงทดลองและฝึกให้ข้าราชบริพารรู้จักการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยทรงสร้างเมืองจำลอง "ดุสิตธานี" ขึ้น เป็นเมืองที่มีพรรคการเมือง,การเลือกตั้ง, และการบริหารตามระบอบประชาธิปไตย




กบฎ ร.ศ. 130
ในปี พ.ศ. 2454 เกิดเหตุการณ์กบฏ ชื่อว่า กบฎ ร.ศ. 130 ในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกูฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงซ้อมรบกับกองทหารเสือป่าที่ จ.นครปฐม กบฏคณะนี้เป็นนายทหารชั้นผู้น้อยประมาณ 100 คน โดยมีจุดประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ความลับรั่วไหลถึงสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ จึงได้ดำเนินการจับกุมไว้ได้ และได้ตั้งศาลพิเศษพิจารณาคดีนี้ ผลของการตัดสินคดี คือ สั่งลงโทษประหารชีวิตนายทหารที่เป็นหัวหน้าก่อการกบฎ 3 นาย จำคุกตลอดชีวิต 20 นาย จำคุก 20 ปี 32 นาย ส่วนที่เหลือให้จำคุก 15 ปี และ 12 ปี ลดหลั่นกันไป
เมื่อตัดสินพิจารณาคดีเสร็จสิ้นลง จึงได้นำความตัดสิน ขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานความเห็นชอบตามที่เสนอทูลเกล้าฯ ถวายไปในตอนแรก เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับทราบ จึงมีพระราชปรารภ ความว่า
“เราไม่ได้มีจิตพยาบาทคาดร้ายแก่พวกนี้ เห็นควรลดหย่อนผ่อนโทษโดยฐานกรุณา ซึ่งเป็นอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินที่จะยกให้ได้”
ด้วยพระราชดำรัสดังนี้ ผู้ก่อการกบฎจึงได้รับการผ่อนโทษ ทำให้ไม่มีผู้ใดต้องโทษประหารชีวิตและในที่สุดทุกคนก็พ้นโทษจำคุกออกมา ในการที่ผู้ก่อการกบฏได้รับพระราชทานลดโทษนั้น ได้มีผู้ก่อการกบฎท่านหนึ่งได้เขียนไว้ว่า
“พระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพวกเรา ซึ่งนับว่าเป้นครั้งที่สำคัญอย่างยิ่งล้นก็คือ ได้พระราชทานชีวิตพวกเราไว้จากคำพิพากษาของกรรมการศาลทหาร โดยเรามิแน่ใจนักว่า หากมิใช่พระราชาพระองค์นี้ทรงเป็นประมุขแล้ว พวกเราจะได้พ้นจากการประหารชีวิตหรือไม่”
ด้วยเหตุการณ์ดังที่กล่าวมานั้น เป็นสิ่งที่ยืนยันได้อย่างแน่ชัดที่สุดว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีน้ำพระทัยที่ผู้เป็นใหญ่ควรจะมี คือ ทศพิธราชธรรม


ด้านวรรณกรรม
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีจำนวนนับพันและมีทุกประเภทวรรณศิลป์ ได้แก่ โขน ละคร นวนิยาย พระราชดำรัส พระบรมราโชวาท พระบรมราชานุศาสนีย์ฯ เทศนานิทานบทชวนหัว สารคดี บทความในหนังสือพิมพ์และร้อยกรอง นอกจากนี้ยังทรงพระราชนิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษไว้หลายเรื่อง

พระนามแฝงที่ทรงใช้มีอยู่มากมายกว่า 100 นาม เป็นต้นว่า

อัศวพาหุ สำหรับบทความที่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง
รามจิตต สำหรับงานพระราชนิพนธ์แปล
พระขรรค์เพชร สำหรับงานพระราชนิพนธ์บทละคร (ก่อนเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ)
ศรีอยุธยา สำหรับงานพระราชนิพนธ์ประเภทบทละคร (หลังเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ)
พันแหลม สำหรับพระราชนิพนธ์ เรื่องที่เกี่ยวกับทหารเรือ
นายแก้วนายขวัญ สำหรับพระราชนิพนธ์ ชุด นิทานนายทองอิน
นายราม ณ กรุงเทพฯ สำหรับทรงใช้ในฐานะทวยนาครแห่งดุสิตธานี
พระรามราชมุนี สำหรับตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดธรรมาธิปไตย ในดุสิตธานี
GENERAL MICHAEL D’ AYUTHYA สำหรับตำแหน่งประธานาธิบดีสาธารณรัฐใหม่ ที่ทรงทดลองอยู่
BROTHER CARLTON สำหรับลายพระราชหัตถเลขาถึงพระสหายในสหรัฐอเมริกา
นอกจากนามแฝงสำหรับพระองค์เอง พระองค์ยังพระราชทานนามแฝงให้กับบุคคลอื่นอีก เช่นนามเข็ม หมกเจ้า ประติสมิต ประเสริฐ ชาญคำนวณ หูผึ่งและโปรเฟซเซอร์ เป็นต้น พระราชนิพนธ์แต่ละเล่มของพระองค์ท่านนอกจากจะให้สาระและความเพลิดเพลินแล้วยังเต็มไปด้วยสุภาษิต ข้อคิดและคำคม เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน รัชสมัยของพระองค์นับเป็นการฟื้นฟูวรรณกรรมทุกประเภทของไทย




งานทางด้านหนังสือพิมพ์ ทรงพระราชนิพนธ์บทความสำคัญ ๆ ลงในหนังสือพิมพ์เช่น “ยิวแห่งบูรพทิศ” ในหนังสือพิมพ์สยามออบเซอร์เวอร์ และ “โคลนติดล้อ” ในหนังสือพิมพ์ไทย จนถึงมีผู้เขียนโต้ตอบให้ชื่อว่า “ล้อติดโคลน” ลงในหนังสือพิมพ์กรุงเทพฯเดลิเมล์ ก็มิได้ทรงพระพิโรธแต่ประการใด แต่นายทหารผู้บังคับบัญชาเกรงว่า การที่นายทหารเรือผู้หนึ่งเขียนโต้แย้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงเสนอขอย้ายนายทหารเรือท่านนั้นเสีย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมิได้ขัดข้องที่จะให้ย้ายตามที่เสนอไป และยังทรงพระราชทานสายสะพายปฐมาภรณ์มงกุฎสยาม เป็นของขวัญที่นายทหารเรือท่านนั้นกล้าโต้แย้งพระองค์ นับว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่ทรงใช้หนังสือพิมพ์เป็นสื่อทั้งในด้านข่าวาร แสดงความคิดเห็นและปลุกใจให้รักชาติ


สิ่งสำคัญที่ทรงริเริ่ม
พ.ศ. 2455 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ “พุทธศักราช” เป็นศักราชในราชการ เพราะทรงมีพระราชดำริว่าการใช้รัตนโกสินทร์ศกไม่สะดวกสำหรับเหตุการณ์ในอดีตก่อนตั้งศักราช
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ประกาศนับเวลาในราชการ โดยทรงกำหนดให้เปลี่ยนวิธีนับเวลาแบบโมงยามมาเป็นนับแบบสากลนิยม คือ แบ่งวันหนึ่งเป็น 24 ภาค แต่ละภาคเรียกว่า นาฬิกา และให้ถือว่าเที่ยงคืนเป็นเวลาเปลี่ยนวันใหม่ 1 เมษายน พ.ศ. 2463 ทรงให้ประกาศพระราชกฤษฎีกาให้ใช้เวลาอัตราสำหรับประเทศไทยทั่วพระราชอาณาจักรเป็น 7 ชั่วโมง ก่อนเวลาที่กรีนิช ประเทศอังกฤษ
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาคำนำหน้านาม พุทธศักราช 2460 กำหนดให้ใช้คำนำหน้านามเด็กและสตรีให้เป็นระเบียบอย่างอารยประเทศ คือ ให้มีคำว่า เด็กชาย เด็กหญิง นาย นาง และนางสาว

ในปี พ.ศ. 2456 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้ใช้นามสกุล และได้ทรงพระราชทานนามสกุลถึง 6,432 สกุล นามสกุลแรกที่ทรงพระราชทาน คือ สุขุม พระราชทานเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2456
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบัญญัติศัพท์แทนคำภาษาอังกฤษที่ใช้กันอยู่ในสมัยนั้น เช่นตำรวจ ธนาคาร โทรเลข โทรศัพท์ บริษัท ราชนาวี จักรยาน บริการ วิทยุ อนุบาล เครื่องบิน ลูกเสือ สหกรณ์ เลขานุการ ห้องสมุด เป็นต้น
รวมถึงชื่อถนนหนทางต่าง ๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาต่างประเทศ ทรงพระกรุณาเปลี่ยนชื่อใหม่ เช่น
ถนนช้างฮี้นอก 1 ซางฮี้ใน 1 ซางฮี้น่า 1 สามถนนนี้ตั้งแต่ลำน้ำเจ้าพระยาถึงถนนราชปรารภเปลี่นชื่อเป็นถนนราชวิถี
ถนนดวงตวันนอก 1 ดวงตวันใน 1 ดวงตวันน่า สามถนนี้ตั้งแต่ลำน้ำเจ้าพระยาถึงพนนราชปรารภ เปลี่ยนชื่อเป็น ถนนศรีอยุธยา
ถนนเบญจมาศนอก ตั้งแต่สะพานมัฆวาฬรังสรรค์ ถึงถนนพระลาน เปลี่ยนชื่อเป็น ถนนราชดำเนินนอก
ถนนประทัดทอง ตลอดทั้งสาย เปลี่ยนชื่อเป็น ถนนพระรามที่ 6
ถนนหัวลำโพงนอก ตั้งแต่ถนนเจริญกรุงถึงถนนหลวงสุนทรโกษา เปลี่ยนชื่อเป็น ถนนพระราม 4
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างธงชาติขึ้นมาใหม่แทนธงช้าง ด้วยเหตุที่ทรงทอดพระเนตรเห็นผู้ชักธงกลับหัวช้าลงเป็นที่ไม่เหมาะสม จึงได้ทรงออกแบบธงใหม่ให้เป็นธง 3 สี ได้แก่ แดง ขาว น้ำเงิน มีความหมายแทนสถาบันสูงสุด 3 สถาบัน คือ ชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ พระราชทานนามว่า “ธงไตรรงค์” และได้ทรงพระราชนิพนธ์ความหมายเกี่ยวกับธงไว้ดังนี้


ขอร่ำรำพันบรรยาย ความคิดเครื่องหมาย
แห่งสีทั้งสมงามถนัด
ขาวคือบริสุทธิ์ศรีสวัสดิ์ หมายพระไตรรัตน์
และธรรมะคุ้มจิตใจไทย
แดงคือโลหิตเราไซร้ ซึ่งยอมสละได้
เพื่อรักษาชาติศาสนา
น้ำเงินคือสีโสภา อันจอมราชา
ธ โปรดเป็นของส่วนพระองค์
จัดริ้วเข้าเป็นไตรรงค์ จึ่งเป็นสีธง
ที่รักแห่งเราชาวไทย
ทหารอวตารนำไป ยงยุทธ์วิชัย
วิชิตก็ชูเกียรติสยามฯ
ทรงมีพระราชดำรัสว่า “ชาติใดไม่มีหนังสือ ไม่มีตำนาน นับว่าเป็นเหมือนคนป่า” ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าออยู่จึงได้ทรงโปรดเกล้าฯ เปิดหอสมุดสำหรับพระนคร พ.ศ. 2459 หอสมุดพระนครนี้ได้พัฒนาให้เป็น หอสมุดแห่งชาติในปัจจุบัน
พ.ศ. 2466 ทรงให้ตราพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด ด้วยทรงมีพระราชประสงค์ให้คนไทยมีวิธีชั่ง ตวง วัด เป็นแบบเดียวกันทั่วประเทศ และทรงกำหนดให้ใช้ระบบเมตริกแบบอารยประเทศตะวันตก